วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เครื่องมือสำหรับสร้างเว็บไซต์

คราวนี้มากับแนวการสร้างเว็บไซต์ และ ตกแต่งเว็บไซต์ให้สวยงามกัน เท่าที่รวบรวมได้ สำหรับคนที่เริ่มต้นที่สร้างเว็บไซต์ แต่หาแนวทางการสร้างไม่ได้ ลองคลิกเข้าไปดูและ copy code มาเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้

สำหรับคนที่เก่งแล้วก็เอาพวก Ajax กะ CSS เข้าไปเพิ่มลูกเล่นให้กับเว็บไซต์ได้ ลองใช้ดู ใช้แล้วเว็บจะน่าสนใจมากขึ้น

1. Theme for web site:
http://www.smashingmagazine.com/2008/01/08/100-excellent-free-high-quality-wordpress-themes/


2. Format:
http://wordpress.org/


3. Java script:
http://www.codetukyang.com/java/index.htm


4. Ajax Loading Data:
http://www.codetukyang.com/java/index.htm

http://www.ajaxload.info/

http://www.dhtmlgoodies.com/index.html?whichScript=tooltip_shadow

http://www.eulerian.com/en/opensource/datepicker-prototype-scriptaculous


5. CSS:
http://www.alvit.de/css-showcase/css-navigation-techniques-showcase.php

Wi-Fi กับ Bluetooth ต่างกันยังไง

นปี 2003 เป็นต้นไปเทคโนโลยีที่คาดว่าจะมาแรงแบบสุดๆตอย่างหนึ่งก็คือ WiFi ซึ่งคำถามแรกของผู้ที่ได้ยินคำนี้ก็ต้องถามเป็นเสียงเดียวกันว่าแล้ว WiFi มันคืออะไรกันนะ ? รู้จักแต่คำว่าไวไฟ ที่เขียนท้ายรถบรรทุกน้ำมัน

จากอดีต

ก่อนที่เราจะมาพูดถึงว่า Wi-Fi มันคืออะไรนั้น เราลองมาทำความเข้าใจกันเล็กๆน้อยเกี่ยวกับเรื่องระบบ Network สักนิดนะครับ การที่ คอมพิวเตอร์หลายๆเครื่องจะมาเชื่อมต่อกัน เพื่อประโยชน์ในการแชร์ ข้อมูลซึ่งกันและกันหรือเอามาแชร์ Internet เพื่อใช้งาน แบบประมาณว่า ต่อ Internet เพียงแค่เครื่องเดียว เครื่องอื่นๆที่อยู่ในเครือข่ายก็สามารถใช้งาน Internet ได้ด้วย ซึ่งการต่อเชื่อมคอมพิวเตอร์หลายๆเครื่องเข้าด้วยกันนี้ แต่เดิมนั้นเราจะใช้สาย Lan ต่อเข้ากับ Lan card ของเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องเพื่อจะเชื่อมเข้าหา ซึ่งการต่อแบบใช้สายนี้มันมีค่าใช้จ่ายไม่แพงมาก แต่จะยุ่งยากหน่อยก็ตรงที่ในบ้านเรา หรือใน office ที่เราจะเชื่อมต่อนั้น จะต้องเรียกช่างมาเดินสาย Lan เหมือนกับเดินสายไฟภายในบ้าน ซึ่งมันก็วุ่นมากทีเดียวหากเป็นบ้านที่มีคนอยู่แล้ว ต้องมานั่งรื้อข้าวของให้วุ่นวายกันไปหมด

ถึงปัจจุบัน

เหมือนกับว่าพระเจ้าเห็นใจผู้รักเทคโนโลยี จึงทำให้มีผู้คิดค้นวิธีเชื่อมต่อ Lan แบบใหม่ขึ้นมาโดยไม่จำเป็นต้องเชื่อมโยงสายให้มันวุ่นวาย แต่คราวนี้เราจะใช้คลื่นเชื่อมแทนครับ ฟังแค่นี้ก็ดูน่าสนใจขึ้นมาแล้วใช่ไหมครับ
ด้วยระบบเทคโนโลยี Lan ไร้สาย 802.11 จึงเกิดขึ้นมาบนโลกเบี๊ยวๆใบนี้ โดยการพัฒนาจากสถาบันวิศวกรไฟฟ้า และ อิเลคโทรนิค หรือ Institute of Electrical and Electronics Engineering (IEEE) นั่นเอง เลยทำให้กลายเป็นศัพท์ใหม่ที่เห็นกันบ่อยๆว่า IEEE 802.11 ซึ่งก็ได้มีการพัฒนากันมาเรื่อยจาก 802.11 ธรรมดามาเป็น 802.11 b 802.11 a 802.11 g ซึ่งมันจะต่างกันเรื่องของความเร็วในการรับส่งข้อมูลเป็นหลัก ( เดี๋ยวเราค่อยมาเล่าต่ออีกทีว่ามันต่างกันอย่างไร )

Wi-Fi คืออะไร

Wi - Fi ก็คือองค์กรหนึ่ง ที่ทดสอบผลิตภัณฑ์ Wireless Lan หรือระบบ Network แบบไร้สาย ภายใต้เทคโนโลยีการสื่อสาร ภายใต้มาตราฐาน IEEE 802.11 ว่าอุปกรณ์ทุกตัวซึ่งต่างยี่ห้อกันนั้นมันสามารถติดต่อสื่อสารกันได้โดยไม่มีปัญหา หากว่าอุปกรณ์ตัวนั้นมันผ่านตามมาตราฐานเขาก็จะปั๊ม ตรา WIFI certified ซึ่งเป็นอันรู้กันว่าอุปกรณ์ชิ้นนั้นสามารถติดต่อสื่อสารกับอุปกรณ์ตัวอื่นที่มีตรา WIFI certified นี้ได้เช่นกัน แต่ทำไปทำมามันกลายเป็นคำศัพท์สำหรับ อุปกรณ์ Lan ไร้สาย ไปโดยปริยาย จนบางคนก็เรียกกันติดปาก

เช่น Notebook ตัวนี้ หรือ PDA ตัวนี้มันมี WiFi ด้วยหละ ! นั่นก็หมายความว่า อุปกรณ์ชิ้นนั้นมันสามารถติดต่อสื่อสารกับเครื่องตัวอื่นในระบบ Network แบบไร้สายได้ โดยอยู่ภายใต้มาตราฐานเทคโนโลยี 802.11

แล้วเลข 802.11 มันคืออะไร ซึ่งผมเชื่อว่ามันต้องเป็นคำถามต่อมาอย่างแน่นอน สำหรับเลข 802.11 นั้นก็เป็น เทคโนโลยีมาตราฐานแบบเปิดซึ่งกำหนดโดย Institute of Electrical and Electronics Engineering (IEEE) โดยเลขหลักตัวหน้ามันจะเหมือนๆกัน แต่ความแตกต่างของเทคโนโลยีจะกำหนดด้วยตัวอักษรด้านหลัง เช่น 802.11 b 802.11 a 802.11 g

Throughput Range Frequency Hot -spot access Power drain Interference risk Cost
802.11b 5Mbps 150 feet 2.4GHz Excellent Moderate High Low
802.11g 20Mbps 150 feet 2.4GHz Excellent Moderate High Moderate
802.11a 22Mbps 100 feet 5GHz Poor High Low High
Dual band 22Mbps 150 feet 2.4GHz 5GHz Excellent Moderate Low High
Bluetooth 500Kbps 30 feet 2.4GHz Poor Low High Moderate

แล้ว WiFi กับ Bluetooth มันเหมือนกันไหม ?

ผมขอบอกว่า 2 อย่างนี้มันคล้ายๆกันครับ ถึงแม้ว่า Bluetooth กับ Wi-Fi มันจะเป็นการติดต่อเพื่อสร้างระบบ Network เล็กๆโดยการเชื่อมโยงอุปกรณ์ตั้งแต่สองตัวเข้าหากัน แต่การใช้งานของ Bluetooth กับ Wi-Fi นั้นมันต่างกันมากครับถึงว่า เทคโนโลยีของ Wi-Fi กับ Bluetooth มันจะใช้ความถี่คลื่นเดียวกันที่ 2.4 GHz และ Bluetooth กับ Wi-Fi มันก็ไม่สามารถใช้งานร่วมกันได้

Bluetooth เป็นการเชื่อมต่ออุปกรณ์สองตัวเข้าหากันด้วยความถี่คลื่นที่ 2.4 GHz ซึ่งมีระยะการทำงานที่สั้นมากคือได้ประมาณ 30 ฟุตเป็นอย่างมากในที่โล่ง จุดประสงค์ที่เขาสร้าง Bluetooth ขึ้นมาก็เพื่อมาแทนที่สายไฟที่ระเกะระกะ ในการเชื่อมโยงอุปกรณ์สองตัวเข้าหากัน เช่น Palm กับ โทรศัพท์มือถือ หรือ โทรศัพท์มือถือ กับ Small talk ข้อจำกัดของ Bluetooth นอกจากเรื่องของระยะทางที่สั้น แล้วเรื่องของความเร็วในการรับส่งข้อมูลก็ยังต่ำกว่า Wi-Fi อีกด้วย หากเอามาใช้งานการส่งข้อมูลไม่มาก เช่น เอามาใช้ Hotsync กับเครื่อง Palm หรือ Beam file จากเครื่องหนึ่งไปอีกเครื่อง เท่านี้คงจะไม่รู้สึกเท่าไร แต่หากจะเอา PC สองตัวมาทำระบบ Network โดยใช้ Bluetooth หละก็จะเห็นถึงความอืดอย่างชัดเจน อย่างที่ผมเคยทดสอบมา โอนไฟล์จาก PC เครื่องหนึ่งไปยัง อีกเครื่องหนึ่ง รอกันเบื่อกันไปข้างเลยครับ สรุปง่ายๆก็คือว่า Bluetooth เหมาะสำหรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ Device เล็กเข้ากัน ด้วยระยะทางเพียงสั้นๆ เพื่อสร้าง Network แบบกระจุ๋มกระจิ๋มส่วนตัว ที่ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า PAN ( Personal area network )



Wi-Fi เป็นการสื่อสารด้วยเทคโนโลยี 802.11 ซึ่งมีข้อดีก็คือมันสามารถส่งข้อมูลแบบไร้สายได้รวดเร็ว ดังนั้นมันจึงเหมาะที่จะนำมาสร้างเครือข่ายไร้สายสำหรับการเชื่อมคอมพิวเตอร์เข้าหากัน หรืออาจจะเอา PDA มาเชื่อมกับคอมพิวเตอร์ก็ยังได้หาก PDA รุ่นนั้นๆมัน สนับสนุน Wi-Fi ข้อดีอีกหลายข้อของ เทคโนโลยี 802.11 ก็พอจะเล่าให้ฟังคร่าวดังต่อไปนี้ครับ การทำงานสามารถสื่อสารได้ไกลกว่าการใช้ Bluetooth , เป็นที่นิยมมากกว่า และมันคือระบบที่มีการทำงานคล้ายกับระบบ Network แบบมีสายมากที่สุด โดยเฉพาะ เทคโนโลยี 802.11 b ซึ่งมีความเร็ว 11 Mb/s อันนี้จะนิยมมากที่สุด แต่ในอนาคตก็คงจะมีการพัฒนาให้มันส่งข้อมูลได้เร็วมากขึ้นไปอีก



สร้างเครือข่ายส่วนตัวใช้เองดีกว่า ( Wi-Fi ในบ้าน )

แนะนำกันไปยืดยาวจนคอแห้งแล้วนะครับว่า Wireless Lan ที่มักเรียกกันติดปากว่า Wi-Fi มันคืออะไร สมัยนี้เรื่องการสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์เขากำลังเป็นที่นิยม เพราะเขาเชื่อกันว่าในบ้านสมัยนี้เขามักจะมีคอมพิวเตอร์มากกว่า 1 เครื่องดังนั้นเราก็น่าจะเอาคอมพิวเตอร์ในบ้านทั้งหมด มาต่อเชื่อมกันเพื่อแชร์ทรัพยากรร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็น อินเตอร์เน็ตหรือ Printer จะได้ช่วยกันประหยัด หรือเอาแบบ เท่ห์ๆหน่อยก็ ส่ง msn หรือ email ไปเรียก คุณพ่อ หรือคุณ แม่ที่อยู่ชั้นสองให้ลงมาทานข้าวพร้อมกัน ก็ยังได้ หรือหากบ้านไหนอยู่กันเยอะๆก็อาจจะมาเล่นเกมส์ร่วมกันบนเครือข่ายคอมพิวเตอร์ก็ได้
แต่ยุคนี้หากจะสร้างเครือข่ายกันในบ้าน หากยังใช้แบบมีสายอยู่ก็อาจจะดูไม่ค่อยจะสะดวกเท่าไรนัก เพราะต้องเรียกช่างมาเดินสายภายในบ้าน หากเป็นบ้านที่อยู่แล้วก็ยิ่งลำบากใหญ่ ดังนั้นหากเราใช้ Wi-Fi ก็จะทำให้การสร้างเครือข่ายนั้นง่ายขึ้นครับ คล่องตัวมากทีเดียว เราอาจจะเอา Notebook ไปนั่งเล่น อินเตอร์เน็ต กลางสวนหลังบ้านก็ยังได้ สำหรับงบประมาณการสร้างเครือข่ายไร้สายแบบ Wi-Fi นี้ก็จะตกอยู่ที่ประมาณ 6500-9000 บาทครับ อุปกรณ์ที่จำเป็นก็มี Access Point 1 ตัว + USB wireless lan card อีกสัก 2 ตัว


Hot spot คืออะไร ? ( Wi-Fi นอกบ้าน )

ผมเชื่อว่าหมู่นี้เรามักจะได้ยินคำว่า Hot spot มากขึ้น แล้วเจ้า Hot spot มันมาเกี่ยวโยงอะไรกับ Wi-Fi ได้ไง เดี๋ยวเรามาดูกันครับ ผมขอเกริ่นเล็กๆน้อยๆกันก่อนว่า ในยุคสมัยนี้การที่เราจะเล่น อินเตอร์เน็ตขณะอยู่นอกบ้านนั้นเราสามารถทำได้หลากหลายรูปแบบ

1. ไปหา Internet Cafe ' อันนี้เป็นวิธีที่ประหยัดที่สุด ค่าใช้จ่ายตกประมาณชั่วโมงละ 30-50 บาทโดยเฉลี่ย แต่มีข้อดีที่ว่าสะดวกง่ายดาย อยากใช้เมื่อไรวิ่งหาร้านจ่ายสตางค์แล้วลุยกันได้เลย แต่ข้อเสียก็มีครับ คือเราไม่สามารถใช้ข้อมูลส่วนตัวที่เราทำงานบนเครื่อง PC ที่บ้านได้ ถึงจะทำได้ก็ค่อนข้างวุ่นวายมากทีเดียว หากลืมไฟล์ไว้ที่ PC ที่บ้านก็จบกัน ส่วนมากจะใช้หาข้อมูลจาก www , เช็ค email หรือ chat เสียมากกว่า และเรื่องของความปลอดภัยในข้อมูลที่เรากรอกไว้ที่เครื่อง PC ในร้านก็ค่อนข้างเสี่ยง และความเร็วของ อินเตอร์เน็ตในแต่ละร้านก็ค่อนข้างจะเอาแน่เอานอนไม่ได้เสียด้วย

2. ใช้ GPRS โดยนำ Notebook หรือ PDA ต่อ อินเตอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือผ่านระบบ GPRS วิธีนี้ดูเหมือนจะ เดิ้ล มากพอสมควร แบบสามารถใช้งานได้ทุกที่ที่มีคลื่นโทรศัพท์ เรื่องของค่าใช้จ่ายก็จะคิดตามปริมาณข้อมูลรับส่ง หากเป็นการใช้งานบนเครื่อง PDA อาจจะไม่ค่อยรู้สึกเท่าไร แต่หากเป็น Notebook อาจจะค่อนข้างเปลืองมากกว่า แต่ก็นับว่าโชคดีที่สมัยนี้ยังมี GPRS แบบไม่จำกัดปริมาณการใช้งานอยู่เลยทำให้ผู้ที่ได้รับโปรโมชั่นนี้อาจจะไม่ค่อยรู้สึกเท่าไรนัก แต่เรื่องของความเร็วของ GPRS นั้นยังมี speed ที่ประมาณ 40 Kbps

3. Hotspot เป็นบริการ อินเตอร์เน็ตสาธารณะไร้สายความเร็วสูง ด้วยเทคโนโลยีของ Wireless Lan หรือที่เรียกกันติดปากว่า Wi-Fi ซึ่งในปัจจุบันก็มีให้บริการกันมากขึ้นเรื่อยตามแหล่งชุมชน ต่างๆ เช่น สนามบิน ร้านอาหาร โรงแรม โรงพยาบาล การใช้บริการ Hotspot นี้ อาจจะต้องลงทุนสูงสักนิด เพราะสองสิ่งหลักที่เราต้องมีก็คือ เครื่องคอมพิวเตอร์ Notebook หรือ PDA และ Wireless Lan card ( ราคาประมาณ 1500-2000 บาท ) แต่หาก Notebook หรือ PDA บางรุ่นมี Wi-Fi ในตัวก็สบายไปหน่อยไม่ต้องไปหาซื้ออุปกรณ์เพิ่ม ข้อดีของการใช้ Wi-Fi ก็คือ สถานที่ที่บริการ อินเตอร์เน็ตสาธาณะที่เรียกกันว่า Hot Spot นี้เขามักจะบริการด้วย อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง แบบเปิดเว็บปุ๊ปมาปั๊ป ค่อนข้างทันใจ และเราสามารถยก office ไปนั้งทำงานตามร้านกาแฟได้อย่างสบายๆ เพราะข้อมูลงานต่างๆของเรานั้นก็เก็บไว้ใน Notebook ของเราอยู่แล้ว แบบประมาณว่าจัดประชุมนัดลูกค้ามาคุยกันนอกสถานที่เลยก็ได้ แต่ Hot Spot ในบ้านเรานั้นเรียกว่ายังใหม่ กิ๊ก อยู่เลยครับ ทำให้อัตราค่าบริการยังค่อนข้างสูงมากทีเดียว แต่บางที่ก็บริการฟรีนะครับ จุดให้บริการก็เริ่มทยอยเปิดกันเรื่อยๆ แต่เรื่อง Hotspot นี้ในบ้านเรานับว่าเป็นสิ่งที่ใหม่มากพอสมควร การใช้งานอาจจะยังขัดๆเขินกันบ้างเล็กน้อย แต่สำหรับในต่างประเทศนั้นมันเป็นสิ่งที่ฮิตมากทีเดียว หากเป็นรางวัลก็ต้องขอมอบรางวัลแบบ ออสการ์ให้ไปเลย เพราะว่ามันเป็นที่นิยมอย่างไม่น่าเชื่อ


ที่มา : http://www.mrpalm.com/wifi/what.php

วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

captcha (แคปช่า) คืออะไร

แคปช่า (captcha) เป็นเทคนิคที่ใช้ในการทดสอบผู้ใช้บริการว่าเป็นมนุษย์จริงๆ ไม่ใช่โปรแกรมอัตโนมัติ (bot) วิธีการง่ายๆที่พบคือนำตัวอักษรมาแปลงให้เป็นรูปภาพ แล้วถามผู้ใช้ว่าตัวอักษรในรูปภาพนั้นคืออะไร เพราะปกติมนุษย์จะอ่านตัวอักษรจากรูปภาพได้โดยไม่รู้สึกว่าต่างอะไรกับข้อมูลตัวอักษร (text) ทั่วๆไป แต่สำหรับคอมพิวเตอร์มันจะรู้แค่ว่านี่เป็นไฟล์ภาพเท่านั้น แต่ไม่รู่ว่าเป็นภาพอะไร อย่างตอนที่เราล็อกอินเข้าระบบ share.psu.ac.th ก็มีอักษรภาพแสดงให้เรากรอก นั่นแหละคือแคปช่า



ทำไมต้องมีแคปช่า ตอบง่ายๆว่าก็เพื่อป้องกันผู้ใช้ที่เป็น bot นั่นเอง เช่น เว็บเมล์ของ google มีผู้ใช้งานมาก และบางคนก็อาศัยฟรีเมล์นี้เป็นแหล่งกระจาย spam mail โดยทั่วไป google จะทำการแบน account เหล่านี้ แต่แบนเสร็จพวกนี้ก็สมัครใหม่ และวิธีที่จะไม่ให้เหนื่อย คือ ใช้ bot หรือโปรแกรมอัตโนมัติช่วยสมัครให้

อ้าวแล้วที่ว่าคอมพิวเตอร์แยกความแตกต่างของรูปภาพไม่ออกละทำไมถึงยังสมัครได้? ก็เพราะมีคนพัฒนาโปรแกรมประเภท OCR เพื่อช่วยแปลงอักษรในภาพมาเป็นข้อมูลที่เป็นตัวอักษร (text) ซึ่งจริงๆเค้าตั้งใจใช้ประโยชน์อย่างอื่น เช่น มีหนังสือที่เป็นกระดาษก็เอามาผ่านโปรแกรม OCR เพื่อจะได้ข้อมูลที่เป็นตัวอักษร (text) ซึ่งสามารถนำไปใช้ในโปรแกรมประมวลผลคำ (word processor) ได้ อย่างถ้าเป็นนักศึกษาก็ scan หนังสือเป็นไฟล์ภาพแล้วนำมาผ่านโปรแกรม OCR ทำเป็นรายงานในเวิร์ดฯได้เลย (ตัวอย่างการใช้งานผิดๆนะครับ อิอิ)


ดังนั้นจึงมีการพยายามป้องกันโปรแกรม OCR ให้ทำงานยากขึ้น เช่น ทำให้ตัวอักษรบิดเบี้ยว หรือใส่สิ่งรบกวนลงไปเช่น เส้น จุด หรือรูปต่างๆ ซึ่งทาง spamer ก็หาทางแก้ไขโดยพยายามพัฒนา OCR ที่ฉลาดขึ้น แยกแยะสิ่งรบกวนได้มากขึ้น หากมองในแง่ดีคือ กระตุ้นให้มีการพัฒนาโปรแกรม OCR ที่ฉลาดขึ้น

ตามข่าวที่ว่าแคปช่าของ google ถูกเจาะได้ในอัตรา 20% นั้น ไม่ต่างอะไรกับถูกเจาะได้ 100% เพราะปกติพวก spamer ใช้ bot ทำงาน ดังนั้นไม่ต้องเหนื่อยทำเอง แค่เขียนโค้ดสั่งโปรแกรมทำงานได้ก็พอ

ส่วนใครสงสัยว่าตั้งแคปช่าแบบไหน ยากหรือง่ายในการเจาะ ลองไปดูตัวอย่างที่ hacker ของจีนวิเคราะห์ความยากง่ายของแคปช่าหลายบริษัทดังๆไว้ที่ http://www.lafdc.com/captcha/

การสร้าง SiteMap ให้กับ Blogger หรือ Blogspot

Add/Submit Google Sitemap สำหรับทำให้เว็บไซต์ติด index

ให้บล็อกของเราใช้ประโยชน์จาก Google Sitemap เพื่อ index และสำรวจบล็อกของเรา ช่วยให้การเก็บข้อมูลในบล็อกของเรากับ Google เป็นไปได้ง่ายขึ้น

ก่อนอื่นเลยเราต้องเข้าไปที่ Google Sitemap และ ทำการลงทะเบียนด้วย Google Account (ต้องมี ไม่มีไม่ได้)


1. เมื่อได้ Account แล้วก็ทำการใส่ url ของเราลงในช่องด้านล่าง แล้วคลิก Ok เลย




2. ทีนี้บล็อกของเราก็จะเข้าไปอยู่ใน Accout Webmasster tool ของเราแล้ว แล้วเราก็ทำการคลิกที่ Verify



3. ไปดูที่ Choose verification method เลือก Add a Meta tag



4. ทำการ Copy Mata Tag



5. หรือจะคลิกเลือกที่ Show me an example



6. ไปเปิด Blogger ที่เราลงทะเบียนไว้ในตอนแรก เข้าไปที่ Tamplate เพื่อวาง Mata Tag ระหว่าง (head) และ (/head) เมื่อเสร็จเรียบรอ้ย ทำการ Save และ republish



7. กลับไปที่ Webmaster Tool เพื่อ คลิก ปุ่ม verify ด้านล่างข้อความ "I've added the META tag in the home page of http://xxx.blogspot.com/"



8. และเข้าไปที่หน้า Webmaster tool เพื่อทำการ Add SiteMap



9. เข้าไปคลิกเลือก Add General Web Sitemap และพิมพ์ ชื่อบล็อกของเรา ตามด้วย atom.xml ดังรูป



10. เพียงเท่านี้เราก็ช่วยให้ Spider ของ Google ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพดูน่าเลื่อมใส ขลังขึ้นเป็นกอง





Adsense คืออะไร

Google AdSense คือ บริการหนึ่ง จาก Google.com ที่เปิดโอกาสให้กับผู้ที่มีเว็บไซต์ สามารถสร้างรายได้โดยการนำโฆษณาของ Google มาใส่ไว้ที่เว็บไซต์ของเรา ซึ่งโฆษณาต่างๆ ของ Google จะเป็นโฆษณาที่มีเนื้อหาสอดคล้องกับเนื้อหาของเว็บไซต์ของคุณ ตัวอย่าง เช่น ถ้าเว็บไซต์ของคุณเป็นเว็บไซต์ที่เกี่ยวกับเกมส์ โฆษณาที่ทาง Google จะส่งมาก็จะเป็นเกี่ยวกับเกมส์ เช่นกัน

โฆษณาของ Google AdSense มีหลายรูปแบบ อาทิ เช่น แบบ Text(ตัวอักษร), แบบรูปภาพ และ รูปแบบตัวอักษรสลับกับรูปภาพ และยังมีสามารถเลือกขนาดของโฆษณาได้ตามต้องการ รวมถึงสีสันของโฆษณาได้ตามต้องการ เพื่อความสวยงาม และลงตัว เหมาะสมกับเว็บไซต์ของคุณได้อีกด้วย

โฆษณาของ Google AdSense ก็มาจากอีกบริการหนึ่ง ก็คือ Google Adwords เป็นบริการของ Google.com ที่ให้เว็บไซต์ต่างๆ หรือ ผู้ที่ต้องการขายสินค้าและบริการบริการต่าง ๆ มาลงโฆษณา โดยโฆษณาเหล่านี้ ก็จะปรากฎ ในเว็บ Google.com เอง และ รวมถึงเว็บไซต์พันธมิตร นั่นก็คือ เว็บไซต์ที่สมัคร Google AdSense นั่นเอง ก็คือ กลุ่มพวกเราที่กำลังทำกันอยู่ เพื่อให้โฆษณาของ Google Adwords เหล่านี้ กระจายออกไปสู่เว็บไซต์ต่างๆ ทั่วโลก เป็นการโฆษณาที่ได้ผลลัพธ์ที่ดีมากๆ

http://www.thaiadsense.info/adsense.htm

วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

วิธีการหา Mac Address/Physical Address

1. การหาค่า Mac Address ของคอมพิวเตอร์

วิธีที่ 1
1. คลิกที่ปุ่ม start แล้วเลือก Run


2. พิมพ์ cmd ในช่อง Open แล้วเลือก OK


3. พิมพ์คำสั่ง ipconfig /all จาก command prompt



วิธีที่ 2
1. เข้าไปที่ Control Panel
2. เลือก Network and Sharing Center แล้วเลือก Manage Network Connection



3. คลิกขวาเลือก Status


4. แล้วก็เลือก Detail... ก็จะเห็นเลข Mac Address แล้วจ้า



2. การหาค่า MAC Address การ์ดแลนไร้สายของ 3COM


3. การหาค่า Address การ์ดแลนด์ไร้สายของ Cisco




4. การหาค่า MAC Address การ์ดแลนไร้สายของ D-Link (PCI)



5. การหาค่า MAC Address USB Wireless ของ Zyxel



- หมายเลข Mac Address ปกติจะมี 12 หลัก ซึ่งจะมีตัวเลขผสมกับตัวอักษร เช่น AA-10-0B-2B-A0-31 ในตัวอย่างสมมุติให้ค่า Mac Address
เป็น FFFFFFFFFFFF
- เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ Network แต่ละเครื่องจะมีหมายเลข Mac Address ไม่ซ้ำกัน

วันอังคารที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

Word Press คืออะไร

เวิร์ดเพรสส์ (WordPress) เป็นโปรแกรมช่วยสร้างบล็อก ซึ่งเขียนด้วยภาษาPHP และใช้ฐานข้อมูล MySQL มีสัญญาอนุญาตใช้งานแบบ GPL เริ่มพัฒนาโดย แมตต์ มูลเลนเวก รุ่นปัจจุบันคือ 2.7


หลังจากซอฟต์แวร์สร้างบล็อก Movable Type ของบริษัท Six Apart ได้เปลี่ยนแปลงการคิดค่าใช้งานใน พ.ศ. 2547 ผู้ใช้เดิมของ Movable Type จำนวนมากจึงหันมาใช้ เวิร์ดเพรสส์แทน เนื่องจากว่ามีรูปแบบการใช้งานคล้ายคลึงกัน


ซึ่งปัจจุบัน เวิร์ดเพรสส์ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจากบล็อกเกอร์ทั่วโลก เนื่องจากเป็นระบบที่มีความยืดหยุ่นในการใช้งาน อีกทั้งยังมีผู้ที่สร้างปลั๊กอิน (โปรแกรมเสริม) , ธีม (รูปแบบการแสดงผล) , รวมทั้งระบบอื่นๆ ที่สามารถใช้งานร่วมกับ เวิร์ดเพรสส์ได้เป็นจำนวนมาก จึงทำให้ เวิร์ดเพรสส์ได้รับความนิยมอย่างยิ่ง


นอกจากนี้ เวิร์ดเพรสส์ยังได้แตกหน่อออกมาเป็น เวิร์ดเพรสส์MU เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถนำไปใช้สร้างเว็บบล็อก เพื่อให้ผู้อื่นใช้งานได้อีกด้วย ซึ่งระบบของ เวิร์ดเพรสส์MU นั้น ได้มีการปรับปรุงให้รองรับกับผู้ใช้งานจำนวนมากขึ้นกว่า เวิร์ดเพรสส์ในรุ่นปกติ


ปัจุจบันได้มีการ แก้ไขโค้ดของ เวิร์ดเพรสส์เพื่อใช้ในการให้บริการพื้นที่สร้างบล็อกด้วย

การพัฒนาของ Wordpress

WordPress นี้พัฒนาต่อยอดมาจาก b2\cafelog ที่พัฒนาโดย Michel Valdrighi และชื่อ WordPress นี้ก็ได้มาจากการแนะนำของ Christine Selleck ซึ่งเป็นเพื่อนกับหัวหน้าทีมพัฒนา นั่นคือ Matt Mullenweg โดยปรากฏโฉมครั้งแรกในปี 2546 ซึ่งเป็นความร่วมมือกันระหว่าง Matt Mullenweg และ Mike Little เพื่อที่จะสร้าง fork ของ b2

ในปี 2547 บริษัท Six Apart ผู้พัฒนา Moveable Type ได้มีการคิดค่าใช้งาน ทำให้ผู้ใช้หันมาใช้ WordPress กันเป็นจำนวนมาก


แหล่งข้อมูลอื่น



ดาวน์โหลด Theme WordPress

http://wordpress.org/extend/themes/



Feed RSS คืออะไร

ปัจจุบัน RSS ถูกนำมาประยุกต์ใช้เป็นรูปแบบกลางในการบริหารข้อมูลทางธุรกิจ และมีการแข่งขันกันสูง โดยเฉพาะธุรกิจที่มี การแชร์ข้อมูล เช่น เว็บไซต์ข่าว เว็บล็อก ซึ่งจะมีการแสดงข้อมูลบนหน้าต่างพรีวิวแยกต่างหาก เพื่อให้ผู้ใช้ไม่สับสน รวมถึง สามารถสืบค้นข้อมูลได้


RSS ย่อมาจาก Really Simple Syndication คือ บริการที่อยู่บนระบบ อินเตอร์เน็ท จัดทำข้อมูลข่าวสารให้อยู่ในรูปแบบ XML เพื่ออำนวยความสะดวกให้ กับผู้ใช้ โดยส่งข่าวหรือข้อมูลใหม่ๆ ให้ถึงเครื่องตลอดเวลาที่มีการ Updateไม่ต้อง เสียเวลาเปิดเว็บไซต์เข้ามาค้นหา


ข้อดีของ RSS
RSS ช่วยลดข้อจำกัดในการคัดลอกข้อมูลในเว็บไซต์ โดยเฉพาะกรณีการละเมิด ลิขสิทธิ์ขณะที่ผู้สร้างไม่ต้องเสียเวลาทำหน้าเพจแสดงข่าว ซึ่งต้องทำทุกครั้งเมื่อ ต้องการเพิ่มข่าว โดย RSS จะดึงข่าวมาอัตโนมัติ ทำให้ข้อมูลในเว็บไซต์เป็น ศูนย์กลางมากขึ้น

จุดเด่นของ RSS คือ ผู้ใช้จะไม่จำเป็นต้องเข้าไปตามเว็บไซต์ต่างๆ เพื่อดูว่ามีข้อมูล อัพเดทใหม่หรือไม่ ขณะที่เว็บไซต์แต่ละแห่งอาจมีระยะความถี่ในการอัพเดท ไม่เท่ากัน บางครั้งผู้ใช้ยังอาจหลงลืมจนเข้าไปดูเนื้อหาอัพเดทใหม่บนเว็บไซต์ ไม่ครบถ้วน รูปแบบ RSS จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถรับข่าวสารอัพเดทใหม่ได้ โดยไม่ต้องเข้าไปดูทุกครั้งให้เสียเวลา ซึ่งจะได้ประโยชน์ทั้งฝ่ายผู้บริโภคและ ฝ่ายเจ้าของเว็บไซต์


รู้ได้อย่างไรว่าเว็บไหนมีบริการ RSS
สังเกตได้จากสัญลักษณ์ที่มีเครื่องหมาย หรือ ส่วนใหญ่มักอยู่บริเวณเมนูหลักของเว็บ หรือบริเวณส่วนล่างของหน้าเว็บเพจ


การ Feed RSS คือ
โปรแกรมอ่านฟีดหรือรวบรวมฟีด (feed readers or aggregators) นั้นใช้สำหรับในการตรวจสอบ รวบรวมและดึงข้อมูลจากฟีดต่างๆที่กำหนด โดยปกติบริการประเภทนี้ไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่ข้อมูลที่ได้อาจเป็นเพียงหัวข้อข่าว หรือรายละเอียดโดยย่อเท่านั้น ส่วนเนื้อหา หรือข้อความหลักของข่าว มักจะมีลิงก์เชื่อมโยงไปให้อีกทีหนึ่ง

อาร์เอสเอส ถูกใช้อย่างแพร่หลายในกลุ่มของคนที่ใช้บล็อก เพื่อแสดงหัวข้อหรือเรื่องราวล่าสุด รวมถึงข้อมูลมัลติมิเดียด้วย (ดู พอดคาสติ้ง บรอดแคทชิ่ง (broadcatching) และบล็อกเอ็มพีทรี (MP3 blogs)) ในกลางปี พ.ศ. 2543 การใช้งานอาร์เอสเอสก็แพร่หลายไปสู่สำนักข่าวต่างๆ ทั้ง รอยเตอร์ ซีเอ็นเอ็น และ บีบีซี

โปรแกรมรวมกลุ่มข่าวสารจะทำการตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงข้อมูล ทั้งยังแสดงผลข้อมูลล่าสุดให้อัตโนมัติ ในตอนนี้ถือเป็นเรื่องปกติจะพบอาร์เอสเอสในเว็บไซต์ทั่วไป บางเว็บไซต์ยังสามารถเลือกรูปแบบของการรับข่าวสาร ระหว่างอาร์เอสเอสหรือ Atom ได้อีกด้วย

การรับข่าวสารผ่านทางเว็บไซต์ ปกติจะใช้คำว่า "ลงทะเบียนรับข่าวสาร" (Subscribe) หรือ เป็นรูปภาพ และในหลายเบราว์เซอร์ยังให้อาร์เอสเอสเป็นคั่นหน้า (bookmark) ได้เช่นกัน



เว็บสำเร็จรูป คืออะไร

เว็บสำเร็จรูป คืออะไร

หลายๆ คนที่เคยได้ยินคำว่าเว็บสำเร็จรูป (Web template) คงสงสัยกันว่าเว็บสำเร็จรูปที่แท้จริงแล้วมันคืออะไร ตรงไหนที่เรียกว่าสำเร็จรูป ซื้อมาแล้วพร้อมใช้งานขายของได้เลยไหม แล้วหน้าตาเว็บสำเร็จรูป (Web template) จะแตกต่างจากเว็บไซต์ทั่วไปอย่างไร......

วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจกัน.... เว็บสำเร็จรูป (Web template) คืออะไร
ความหมายโดยทั่วๆไปของ เว็บสำเร็จรูป คือ บริการเว็บไซต์สำเร็จรูปหรือเว็บไซต์อัตโนมัติ ที่ง่ายและรวดเร็วทันใจ ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ในคอมพิวเตอร์ก็สามารถทำได้

ใน การทำเว็บไซต์หรือสร้างเว็บไซต์นั้น ไม่ได้จบลงเพียงแค่การทำเว็บไซต์หรือสร้างเว็บไซต์เสร็จเท่านั้น อย่าลืมว่าเว็บไซต์ที่ดีคือเว็บไซต์ที่ไม่มีวันสร้างเสร็จ ภารกิจยังไม่หมด ภารกิจต่อไปหลังจากที่สร้างเว็บไซต์เรียบร้อยแล้ว เป็นภารกิจที่สำคัญมากๆภารกิจหนึ่ง นั่นก็คือ การโปรโมทเว็บไซต์หรือโฆษณาเว็บไซต์ ที่ สร้างขึ้นมาให้เป็นที่รู้จักของสาธารณชนทั่วไป ผู้คนเข้าถึงง่าย เว็บไซต์อยู่ในโลกมืดหรืออีกโลกหนึ่งที่เรียกกันว่าโลกออนไลน์นั่นเอง ถ้าไม่มีการประชาสัมพันธ์หรือโฆษณาให้ผู้คนรู้จักและเข้าถึงได้ เว็บไซต์นั้นก็เป็บเว็บไซต์ร้างไปในที่สุด ถึงแม้จะใช้เงินลงทุนสร้างจำนวนมากมายก็ตาม

ใน ปัจจุบันมีผู้ให้บริการเว็บไซต์จำนวนมาก ซึ่งประเภทการให้บริการเว็บไซต์นั้นมีสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้ ประเภทรับจ้างเขียนโปรแกรมสร้างเว็บไซต์ ผู้รับจ้างต้องมีความรู้ในการเขียนโปรแกรมเป็นอย่างดี ส่วนอีกประเภทหนึ่งที่กำลังมาแรงในปัจจุบันก็คือผู้ให้บริการเว็บไซต์สำเร็จ รูปหรือเว็บไซต์อัตโนมัติ
ซึ่งมีผู้ให้บริการเว็บไซต์ประเภทนี้มากขึ้นเรื่อยๆทั้งส่วนบุคคลและบริษัท
ใน การเลือกใช้บริการเว็บไซต์ต้องคำนึงถึงหลายๆด้าน ทั้งในส่วนผู้ให้บริการเองว่าเป็นมืออาชีพมากน้อยเพียงใด เพื่อความมั่นคงในระยะยาวแนะนำให้ใช้บริการที่เป็นนิติบุคคลที่ให้บริการมา นาน เพราะถ้าคัดเลือกผู้ให้บริการเว็บไซต์ผิดเท่ากับล้มเหลวไปล่วงหน้าส่วนหนึ่งแล้วนั่นเอง